ประวัติกีฬาเทนนิส

 


                    กีฬาเทนนิสเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่อาศัยทักษะ เทคนิค และการเล่นที่หลากหลาย ที่สำคัญ เป็นกีฬาชนิดเดียวที่มีพื้นสนามแข่งขันหลายแบบ เช่น สนามคอนกรีต สนามดิน สนามหญ้า และสนามยางสังเคราะห์ ซึ่งในแต่ละพื้นสนาม นักกีฬาจะต้องใช้ยุทธวิธีการเล่นที่แตกต่างกัน การเล่นเทนนิส ต้องอาศัยสมรรถภาพทางกลไกหลายด้าน การพัฒนาการเล่นให้มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย จึงต้องอาศัยกระบวนการวิเคราะห์ และการประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ การกีฬาเฉพาะด้าน

ประวัติและความเป็นมาของกีฬาเทนนิส


                    กีฬาเทนนิส หรือเรียกว่า ลอนเทนนิส (Lawn Tennis) เพราะกีฬาประเภทนี้เล่นในสนามหญ้า คำว่า "Lawn" แปลว่า สนามหญ้า ลอนเทนนิส ในปัจจุบันได้วิวัฒนาการไปมาก และไม่จำเป็นต้องเล่นกันในสนาม อาจจะเล่นกันในห้องที่มีหลังคา พื้นไม้ หรือพื้นคอนกรีต แต่อย่างไรก็ตาม กีฬาประเภทนี้ยังได้ชื่อว่าลอนเทนนิสอยู่ดังเดิม เพราะเทนนิสแท้จริงนั้นเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่เล่นกันในสนามที่มีหลังคา แล้วใช้แร็กเกต ที่ใหญ่กว่าแร็กเกตลอนเทนนิสธรรมดา ส่วนลูกบอลจะคล้ายลูกซอฟต์บอล หรือเบสบอล กีฬาเทนนิสเริ่มเล่นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ส่วนลอนเทนนิสเพิ่งจะเริ่มขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ในสมัยกรีกและโรมัน มีกีฬาซึ่งคล้ายกับเทนนิส ที่เล่นกันในเมื่อประมาณ 1,300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กีฬาประเภทนี้เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศษว่า "เจอ เดอ ปุม" (JUE DE PAUME) ชาวฝรั่งเศษ นำเข้ามาเล่นในประเทศฝรั่งเศษ โดยระยะแรกใช้ตบด้วยมือ (คล้ายวอลเลย์บอล) แต่ต่อมาได้ วิวัฒนาการเป็นใช้แร็กเกต สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเทนนิสที่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฎเป็นครั้งแรกในอิตาลี เมื่อปี พ.ศ. 2098 จนในศตวรรษที่ 16 และ 17 จึงได้แพร่หลายไปในอังกฤษ ศตวรรษที่ 18 กีฬาชนิดนี้ได้ลดความนิยมลง แต่ได้เริ่มนิยมเล่นกันอีกในหมู่ผู้มั่งคั่ง เมื่อราวศตวรรษที่ 19

                    คำว่า "เทนนิส" มาจากภาษาฝรั่งเศษว่า "เทเนซ์" (Tenez) ซึ่งแปลว่า จะเอาไปเล่น โดยมีชาวอังกฤษชื่อ W.Skeet ผู้ซึ่งมีความชำนาญ และมีชื่อเสียงให้การสนับสนุนว่า เทเนซ์ เป็นของดั้งเดิมจริง แต่อ่านว่า "เทเนทซ์" (Tenez) ซึ่งหมายความว่า เอาใจใส่ หรือระวัง โดยมีความหมายเหมือนกับในปัจจุบันคือ "เล่น" นาย Malcolm D. Whitman ผู้เขียนเรื่องความเป็นมา และความมหัศจรรย์ของเทนนิสกล่าวว่า การเล่น เจอ เดอ ปุม ได้ปรากฎก่อนเทนเนซ์ ในปี พ.ศ. 2416 พันตรี Walter C. Wingfield แห่งกองทัพบกอังกฤษได้ดัดแปลงการเล่นเทนนิสซึ่งเล่นกันในร่มไปเล่นกันในสนามกลางแจ้ง พร้อมทั้งนำเอาแร็กเกตแบดมินตัน และคอร์ตเทนนิสมารวมกันเข้า และดัดแปลงเป็นกีฬาใหม่เรียกว่า "สไพริสไตค์" (Sphairistike) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นลอนเทนนิส เพราะเป็นกีฬาที่เล่นในสนามหญ้า และมีวิธีการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาเทนนิสสมัยเดิมมาก ในขั้นแรกใช้คอร์ตที่มีรูปร่างเหมือนนาฬิกาทราย ตาข่ายสูง 7 ฟุต กั้นกลาง และภายหลังจากเขา ได้แนะนำกีฬาชนิดนี้ ให้ประชาชนได้รู้จักกันเป็นครั้งแรกในงานเลี้ยงที่สนามปาร์ตี้ (Lawn Party) ณ เวลส์ ในปี พ.ศ. 2417 Walter C. Wingfield ได้จดทะเบียนสงวนสิทธิ์ของสนาม จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2418 ประชาชนได้เรียกร้องให้เลิกสงวนลิขสิทธิ์นี้ กีฬาเทนนิสจึงได้แพร่หลาย เพื่อความสะดวกของผู้เล่น สมาคมโครเกต์แห่งอังกฤษ ที่วิมเบิลดันได้อุทิศสนามให้เป็นที่เล่นกีฬาชนิดนี้ และทางสมาคมยังได้จัดการแข่งขันชิงชนะเลิศของโลกประเภทสมัครเล่นขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2420 ทำให้มีการแข่งขันลอนเทนนิสที่มีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ ในปี พ.ศ. 2431 ได้มีการก่อตั้งสมาคมลอนเทนนิสแห่งชาติขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งต่อมาสมาคมนี้ มีชื่อว่า "ลอนเทนนิสสมาคม" และได้จัดพิมพ์กติกาการเล่นเทนนิสขึ้น อย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2437

ประวัติกีฬาเทนนิสในประเทศไทย

                    ปี พ.ศ. 2440 กีฬาเทนนิสเข้ามาเล่นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยยุคนั้นเป็นผู้นำเข้ามา ในขณะนั้นคนไทยยังไม่สนใจการเล่นเทนนิสมากนัก คงเล่นกันในหมู่คนต่างชาติ ต่อมาชาวไทยที่เล่นเทนนิสในระยะแรกได้แก่เจ้านายคนไทยชั้นสูง ข้าราชการชั้นสูง และนักเรียนไทย ที่เดินทางกลับมาจากการศึกษาในยุโรป ครั้งนั้นนักเทนนิสไทยบางท่านนุ่งผ้าม่วงเล่นเทนนิส บางท่านระหว่างการเล่นก็กินหมาก ต่อมาจึงนุ่งกางเกงขายาวและต้องมีสีขาวตามแบบฉบับของชาวต่างชาติ โดยถือว่าการเล่นเทนนิสต้องนุ่งกางเกงขาวสีขาวจึงจะเป็นการสุภาพมากกว่านุ่งกางเกงขาสั้น

                    ปี พ.ศ. 2455 ได้มีการจัดตั้งลอนเทนนิสสโมสรครั้งแรกขึ้นที่พระราชอุทยานสราญรมย์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้รับความร่วมมือจากชาวอังกฤษและอเมริกันที่เข้ามาพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยขณะนั้น โดยในเริ่มแรกมีสนามเทนนิส 2 สนาม และมีสมาชิกเริ่มต้นเพียง 10 คน ต่อมาเมื่อมีจำนวนสมาชิกมากขึ้นจึงได้ย้ายไปเล่นที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ซึ่งเป็นสถานที่ที่นิยมเล่นกันมากในขณะนั้น และยังมีสนามเทนนิสตามบ้านพักของชาวต่างชาติบางคน เช่น บ้านหมอแม็คฟาแลนด์ ซึ่งอยู่ข้างโรงพยาบาลศิริราช บ้านนายคอลลินส์ ที่กระทรวงเกษตร ซึ่งผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ส่วนที่เป็นคนไทยนอกเหนือไปจากพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิยาลงกรณ์แล้ว ก็คือพระยาบำรุงนาวา (ชุบ สุนทรศารทูล) ซึ่งเป็นผู้ถวายการสอนเทนนิสให้กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระยาบำรุงนาวายังเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถขึ้นเอ็นไม้เทนนิสได้

                   ปี พ.ศ. 2460 ประชาชนชาวไทยให้ความสนใจเล่นเทนนิสกันมากขึ้น จึงได้มีการตั้งสโมสรเทนนิส เพิ่มขึ้น อาทิเช่น สโมสรบางกอกยูไนเต็ดคลับ ซึ่งเป็นสนามซีเมนต์เพียงสนามเดียว สโมสรบริษัทบอร์เนียว สโมสร บริษัทบอมเบย์เบอร์มา และยังมีการเล่นเทนนิสที่บ้านมิสเตอร์ลอฟตัส ซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนนายเรือ ธนบุรี และบ้าน มิสเตอร์บัสโฟร์ หลังกองทัพเรือ ส าหรับในหมู่คนไทยเช่นที่กระทรวงเกษตร และสโมสรโรงเรียนนายเรือ

                   ปี พ.ศ. 2463 ภายหลังกีฬาเทนนิสได้เผยแพร่มากขึ้น พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ มิสเตอร์ อาร์ ดี เคร็ก และ พระยาสุพรรณสมบัติได้เตรียมโครงการที่จะจัดตั้งลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ

                    ปี พ.ศ. 2469 อันเป็นปีรุ่งจากปีเสวยราชสมบัติแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมาคมลอนเทนนิสแห่งประเทศไทยได้รับการสถาปนาขึ้นโดยองค์พระประมุขของ ประเทศ ทรงเป็นผู้ริเริ่มและให้กำเนิดแก่สมาคม

                    ปี พ.ศ. 2470 พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ มิสเตอร์ อาร์ ดี เคร็ก และ พระยาสุพรรณ สมบัติได้ขอความร่วมมือไปยังสโมสรต่างๆ เพื่อจัดการประชุมขึ้นเป็นครั้งแรกครั้งแรกที่วังพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่น พิทยาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2470 และได้มีสโมสรต่าง ๆ ไปร่วมการประชุมรวม 12 สโมสร คือ ผู้แทน ราชกรีฑาสโมสร, สโมสรรถไฟ, สโมสรกีฬาสามัคยาจารย์, สโมสรอังกฤษ, สโมสรนครสวรรค์, สโมสรลำปาง, สโมสรสีลม, สโมสรรวรัฐ, สโมสรเชียงใหม่ยิมนาคา, สโมสรสงขลา, สโมสรกลาโหม และสโมสรภูเก็ต ในการประชุมครั้งนี้ที่ ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ให้จัดตั้งลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และได้ตราข้อบังคับของลอนเทนนิสสมาคม แห่งประเทศไทยฯ ใช้เป็นมาตรฐานทั่วไป และได้ใช้เป็นบรรทัดฐานต่อมาจนถึงปัจจุบัน ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จึงได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2470 และถือเป็นวันกำเนิดของลอนเทนนิสสมาคมฯ และพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ทรงดำรงตำแหน่งนายกสมาคมตั้งแต่ พ.ศ. 2470 ถึง พ.ศ. 2482 เป็นเวลาถึง 12 ปีนอกจากนั้นลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ยังได้จัดการแข่งขันชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกที่สโมสรสีลม นอกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงรับเอาลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดกีฬาเทนนิสมากและทรง เทนนิสอยู่เสมอในสนามเทนนิสวังสุโขทัย จึงนับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นบิดาแห่งวงการเทนนิสไทย ดังนั้นคณะกรรมการสมาคมจึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เลขานุการกิตติมศักดิ์ไปจัดการออกแบบเครื่องหมาย โดยให้มีเลข 7 อยู่ภายใต้พระมหามงกุฎ เพื่อเป็นอนุสรณ์และระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแด่ผู้ทรงให้กำเนิดแก่สมาคม และกำหนดวันเทนนิสขึ้นวัน หนึ่งในทุก ๆ รอบปีโดยถือวันที่ 15 เมษายน ซึ่งตรงกับวันกำเนิดของลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ

                    ปี พ.ศ. 2495 ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แปลกติกาของสหพันธ์เทนนิสนานาชาติเพื่อใช้ในการเล่น และแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรก

                    ปี พ.ศ. 2500 ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดการแข่งขันเทนนิส กว้างขวางมากขึ้น มีการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศแห่งภาคขึ้นทุกภาค และคัดนักกีฬาที่ชนะเลิศเอามาแข่งขันเพื่อความชนะเลิศแห่งประเทศไทย ซึ่งแบ่งการแข่งขันออกเป็นหลายประเภท เช่น ประเภทชายเดี่ยว ประเภทชายคู่ ประเภทหญิงเดี่ยว ประเภทหญิงคู่ ประเภทคู่ผสม ประเภทชายเดี่ยวสูงอายุ (อายุ 50 ปีขึ้นไป) ประเภทชายคู่สูงอายุ (อายุรวมกัน 100 ปีขึ้นไป) เป็นต้น

                    ปี พ.ศ. 2509 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 5 มีการก่อสร้าง สนามเทนนิสและอัฒจันทร์ พร้อมห้องทำงาน ในบริเวณสนามกีฬาแห่งชาติปทุมวัน ด้านหลังสนามศุภชลาศัย เพื่อใช้ในการแข่งขันเทนนิส และหลังจากเสร็จการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์แล้ว กรมพลศึกษาซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ได้อนุญาตให้ ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว และใช้เป็นที่ทำการของลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งประกอบด้วยห้องทำงานและสนามเทนนิสจำนวน 10 สนาม และต่อมาลอนเทนนิสสมาคมฯ ได้เปิดสนามเทนนิสให้กับประชาชนทั่วไปได้เข้าใช้บริการ

                    ปี พ.ศ. 2520 องค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย (การกีฬาแห่งประเทศไทย ในปัจจุบัน) ได้จัดสร้างสนามเทนนิส จ านวน 6 คอร์ท ขึ้นในบริเวณองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก และได้มอบให้ ลอนเทนนิสสมาคม แห่งประเทศไทยฯ เป็นผู้ครอบครองและใช้สนามเทนนิสนี้ให้เป็นประโยชน์ในการด าเนินกิจการของ ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯและได้สร้างอาคารที่ท าการให้แก่ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ที่สนามเทนนิสแห่งนี้อีกด้วย

                    ปี พ.ศ. 2520 องค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย (การกีฬาแห่งประเทศไทย ในปัจจุบัน) ได้จัดสร้างสนามเทนนิส จำนวน 6 คอร์ท ขึ้นในบริเวณองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก และได้มอบให้ ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เป็นผู้ครอบครองและใช้สนามเทนนิสนี้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการของ ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และได้สร้างอาคารที่ทำการให้แก่ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ที่สนามเทนนิสแห่งนี้อีกด้วย

                    ปี พ.ศ. 2521 เมื่อประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 8 ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ได้รับงบประมาณ สร้างสนามเทนนิสเพิ่มเติมอีก 2 คอร์ท และจัดหางบประมาณด้วยตนเอง เพื่อก่อสร้างอัฒจันทร์ สนามเทนนิสหัวหมาก รวมเป็น 8 คอร์ท

                    ปี พ.ศ. 2526 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2526 คหบดี คุณผาสุก และนางเง็ก มณีจักร ได้มีจิตเป็นกุศลยก ที่ดินภายในบริเวณเมืองทองธานี ให้กับลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ โดยมี พลตรีวีรินทร์ เบี้ยวไข่มุข นายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ในขณะนั้นเป็นผู้รับมอบ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นที่ตั้งของลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และเพื่อกิจการเกี่ยวกับกีฬาเทนนิส โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้รับจะไม่นำที่ดินไปใช้ประโยชน์นอกจากที่ระบุ ไว้ และไม่จำหน่ายที่ดินให้แก่บุคคลใด ยกเว้นการแลกเปลี่ยนที่ดินเพื่อความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ข้างต้น และให้ได้ประโยชน์มากขึ้น โดยมีสิทธิแลกเปลี่ยนที่ดินได้เฉพาะแต่การแลกเปลี่ยนกับที่ดิน ในบริเวณเมืองทอง 3 เท่านั้น

                    ปี พ.ศ. 2528 การบูรณะซ่อมแซมสนามเทนนิสภายในบริเวณองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก ครั้งใหญ่ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 10 ที่กรุงเทพมหานคร

                    ปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 ในปลายปี พ.ศ. 2541 การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ก่อสร้างสนามกีฬาพร้อมอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ "ราชมังคลากีฬาสถาน" ขึ้นในบริเวณ การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก สนามเทนนิสบางส่วนถูกรื้อ เพื่อขยายถนนเป็นทางเข้า-ออก "ราชมังคลากีฬาสถาน" และคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 กำหนดให้กีฬาเทนนิสในเอเชี่ยนเกมส์ทำการแข่งขันที่สนามเทนนิสศูนย์กีฬาเมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จึงต้องย้ายที่ทำการไปอยู่ที่สนามกีฬาไนติงเกล-โอลิมปิค ถนนรามอินทรา ด้วยความอนุเคราะห์ของ บริษัท ไนติงเกล-โอลิมปิค จำกัด และใช้สนามเทนนิสไนติงเกล-โอลิมปิค เป็นสถานที่จัดการแข่งขันของสมาคม ตั้งแต่เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2540

                    ปี พ.ศ. 2541 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 โดยกีฬาเทนนิสจัดขึ้นที่ศูนย์กีฬาเมืองทองธานี ภายหลังการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 เสร็จสิ้นลง บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด เจ้าของพื้นที่ศูนย์กีฬาเมืองทองธานีได้มอบสนามเทนนิสศูนย์กีฬาเมืองทองธานี จำนวน 11 คอร์ท และอีก 1 เซ็นเตอร์คอร์ท พร้อมด้วยอาคารสระว่ายน้ำ ห้องสควอช และห้องพักอีก 10 ห้อง บนอาคารคอนโดมีเนียมตึกที 4 ที่อยู่ด้านข้างของ สนามเทนนิส ให้ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ครอบครองดูแล ใช้เป็นที่ทำการ และสนามจัดการแข่งขัน ตลอดจนเป็นศูนย์ฝึกเทนนิส และสถานที่เก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬาทีมชาติและเยาวชน โดยมีการทำบันทึกสัญญาร่วมกัน เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2542 มีกำหนดระยะให้ครอบครอง 5 ปี จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2547

                    ปี พ.ศ. 2547 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ ได้ย้ายที่ทำการไปยัง ที่ทำการพรรคชาติพัฒนา (ชั้น 3) เลขที่ 327 ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 โดยในอดีตคณะกรรมการบริหารลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ หลายชุด พยายามจะหางบประมาณ มาเพื่อทำการก่อสร้างที่ทำการลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จนในที่สุดเมื่อพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2547 ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ในสมัยนั้น ได้เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ เพื่อเตรียมการก่อสร้างอาคารที่ทำการและสนามเทนนิส บริเวณที่ดินภายในเมืองทองธานี โดยมีนักเทนนิสหญิงมือ 1 ของโลก มาเรีย ชาราโปรว่า ชาวรัสเซีย ร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์ด้วย

                    ปี พ.ศ. 2549 ในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2549 ได้มีการย้ายที่ทำการลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากอาคารที่ทำการพรรคชาติพัฒนา จะต้องดำเนินการปรับปรุงอาคารให้เป็นที่ทำการของ สมาชิกวุฒิสภา โดยได้ย้ายที่ทำการไปยัง อาคาร FBT ชั้น 9 ถนนรามคำแหง หัวหมาก บางกะปิ กรุงเทพฯ

                    ปี พ.ศ. 2550 การก่อสร้างอาคารที่ทำการ สนามเทนนิส 11 สนาม และสิ่งอำนวยความสะดวก ต่างๆ ที่ครบถ้วน บริเวณที่ดินภายในเมืองทองธานี ได้เสร็จสิ้นลง โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 100 ล้าน บาท (โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากส านักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 50 ล้านบาท และคณะกรรมการ การกีฬามหาวิทยาลัย จำนวน 50 ล้านบาท) และใช้เป็นที่ตั้งถาวรของลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งการจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ และได้ย้ายที่ทำการลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จากอาคาร FBT มาใช้พื้นที่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ เลขที่ 100 หมู่ที่ 9 เมืองทองธานีถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2550 เป็นที่ทำการแทน

                    ปี พ.ศ. 2551 เมื่อวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2551 ได้มีพิธีเปิดอาคารที่ทำการลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสนามเทนนิส 11 สนาม อย่างเป็นทางการ โดยมีสมเด็จพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นประธานฝ่าย ฆราวาส นอกจากนั้นในช่วงบ่ายยังมีการจัดแข่งขันเทนนิสนัดพิเศษระหว่างบียอร์น บอร์ก กับจอห์น แม็คเอนโร เพื่อ เป็นการเฉลิมฉลองในพิธีเปิดดังกล่าวด้วย

                    ปี พ.ศ. 2553 ได้มีการตกลงความร่วมมือกันระหว่างลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สหพันธ์เทนนิสแห่งเอเซีย (ATF) และสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ITF) ในการจัดตั้งศูนย์พัฒนา กีฬาเทนนิสแห่งเอเซีย (Asian Tennis Center หรือ ATC) โดยใช้สถานที่และอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานของศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี ซึ่งสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ITF) จะให้การสนับสนุนในการจัดหาผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษา และวางโปรแกรมการฝึกสอน เพื่อพัฒนานักเทนนิสในทวีปเอเซียให้ได้ทำการฝึกฝนในสถาบันการฝึกสอนเทนนิสที่มีมาตรฐานระดับสากล และพัฒนาขีดความสามารถให้แข่งขันกับนักเทนนิสอาชีพชั้นแนวหน้าของโลกในทวีปอื่น ๆ ได้ นอกจากนั้นศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งเอเซีย (ATC) ยังเป็นศูนย์กลางในการอบรม สัมมนา และพัฒนายกระดับมาตรฐานของบุคลากรเทนนิสต่าง ๆ จากประเทศสมาชิกสหพันธ์เทนนิสแห่งเอเชีย อาทิเช่น ผู้ฝึกสอน หรือผู้ตัดสิน เป็นต้น เนื่องจากนักกีฬาและบุคลากรเทนนิสในด้านต่าง ๆ จากทวีปเอเชีย ต้องเดินทางมายังศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งเอเชีย (ATC) เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ที่พักอาศัยภายในบริเวณศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งเอเซีย (ATC) จึงมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งในการรองรับนักเทนนิสและบุคลากร อันเนื่องจากนักเทนนิสที่เข้ามา ฝึกที่ศูนย์จะมีหลายรุ่นอายุ โดยเฉพาะนักเทนนิสระดับเยาวชน จำเป็นต้องมีที่พักอยู่ภายในบริเวณศูนย์ อัน เนื่องมาจากความปลอดภัย และความสะดวกในด้านอาหารการกิน และความต่อเนื่องของการฝึกซ้อม จึงได้เริ่ม ก่อสร้างอาคารหอพักนักกีฬาของศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งเอเซีย (ATC) ขึ้น เพื่อใช้เป็นที่พักสำหรับนักกีฬาเทนนิส ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น มีห้องพักจำนวน 30 ห้อง (ห้องพัก 2 เตียง 5 ห้อง และห้องพัก 4 เตียง จำนวน 25 ห้อง) ห้องประชุม 2 ห้อง และห้องสันทนาการ 1 ห้อง โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2553 แล้วเสร็จวันที่ 1 สิงหาคม 2554 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างจำนวน 20 ล้าน บาท จากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

                    นอกจากนั้นยังได้ปรับปรุงเพิ่มเติมชั้น 3 ของอาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างให้เป็นที่ทำการ ของศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งเอเซีย (ATC) โดยได้มีพิธีเปิดอาคารที่ทำการและหอพักศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่ง เอเซีย (ATC) ขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 24 กันยายน 2554 โดยมี ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ Mr.Anil Khanna ประธานสหพันธ์เทนนิสแห่งเอเชีย (ATF) และ Mr.Ricci Bitti ประธานสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ITF) ร่วมทำพิธีเปิดผ้าแพรคลุมป้ายศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งเอเซีย (ATC) ทั้งนี้ ได้มีนายกสมาคมเทนนิสต่าง ๆ จากทั่วโลก ที่เดินทางมาร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปีของสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ITF ANNUAL GENERAL MEETING 2011) ที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นจ้าภาพจัดการประชุม ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย

                    ปี พ.ศ. 2558 โดยที่พระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ 2528 ได้ใช้บังคับมาเป็น เวลานาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ขึ้นใหม่ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2558 ซึ่งในมาตรา 57 สมาคมกีฬาต้องใช้ชื่อซึ่งมีคำว่า “สมาคมกีฬา” ประกอบกับชื่อของ สมาคมกีฬาด้วย ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงมีหนังสือถึงราชเลขาธิการเพื่อขอนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ในการแก้ไขชื่อจาก “ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” เป็น “สมาคมกีฬาเทนนิส ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” และ ราชเลขาธิการได้นำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว

                    ผู้ดำรงตำแหน่งนายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นับแต่การ สถาปนาลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย วงการเทนนิสไทยมีผู้ดำรงตำแหน่งนายกลอนเทนนิสสมาคมฯ มาแล้ว 17 คน ดังนี้

1. พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ระหว่าง พ.ศ. 2470 – 2482 
2. พลเอก หลวงพรหมโยธี ระหว่าง พ.ศ. 2482 – 2484 
3. พันตำรวจโท ขุนศรีศรากร ระหว่าง พ.ศ. 2484 – 2490 
4. หม่อมเจ้าวิมวาทิตย์รพีพัฒน์ ระหว่าง พ.ศ. 2490 – 2494 
5. นายชุณห์ ปิณฑานนท์ ระหว่าง พ.ศ. 2494 – 2495 
6. นายเมืองเริง วสันตสิงห์ ระหว่าง พ.ศ. 2495 – 2505 
7. นายแพทย์บรรจง กรลักษณ์ ระหว่าง พ.ศ. 2506 – 2507 
8. พลเอก กฤษณ์ สีวะรา ระหว่าง พ.ศ. 2507 – 2519 
9. พลตรี วีรินทร์ เบี้ยวไข่มุข ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม 2 ช่วง คือ ระหว่าง พ.ศ. 2519-2522 และ พ.ศ. 2524-526 
10. พลเรือตรี วินัศ ศิริกายะ ระหว่าง พ.ศ. 2522 – 2524 
11. นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม 3 ช่วง คือ ระหว่าง พ.ศ. 2526 - 2528 พ.ศ. 2532 - 2534 และ พ.ศ. 2536–2538 
12. พันเอก สุรพิชญ์ อมรวิเชษฐ์ ระหว่าง พ.ศ. 2528 – 2532 
13. นายสมจิตร ทองประดับ ระหว่าง พ.ศ. 2534 – 2536 
14. พลเอก สายหยุด เกิดผล ระหว่าง พ.ศ. 2538 – 2540 
15. พลเอก อัครเดช ศศิประภา ระหว่าง พ.ศ. 2540 – 2544 
16. ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ระหว่าง พ.ศ.2544 – 23 มกราคม 2559 
17. นายกิตตน์สมบัติ เอื้อมมงคล ระหว่างวันที่ 23 มกราคม 2559 – ปัจจุบัน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น